บัว ๔ เหล่า (๗๐๘)

บัว ๔ เหล่า ว. ความหมายของคำว่า “บัวสี่เหล่า” คือ คำเรียกบท บอกบทแก่ประเภทคนดี ที่มีอยู่หลายชนิดในศาสนา ที่ว่าเปรียบไปถึง ๔ ชนิด แต่มีชนิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยดี, ว่าซึ่ง ในศาสนาพุทธเปรียบได้เหมือนดอกบัว และส่วนต่าง ๆ ของบัว ที่ได้มีประโยชน์และมีคุณค่าในการเป็นอาหาร และเป็นยา แก่สัตว์และมนุษย์ ว่าออกเป็นสำนวน คำพูดสอน ประเทียบเปรียบเปรย อาทิ “คนบางคนยังมีความดีน้อย ทั้งยังไม่ค่อยเก่ง ไม่อาจจะชูช่อเบ่งบาน อวดกิ่งก้าน ดอก และใบ ให้ใคร ๆ เห็น และพอใจ ได้”. ไม่มาอยู่ในเหล่ากอ ว่านวงศ์ อันคำเปรียบเปรย หากด่าว่า ส่อเสียด เป็นคำเสียดแทง นินทา แล้ว เป็นความหมายอย่างเดียวกันกับคำว่า “คนนั้น เป็นเหมือนดั่งพระจันทร์เสี้ยวที่ ๑๖ นั่นแหละ”. ที่ยังไม่มีความดีให้เห็น ให้เป็น ถ้าเปรียบกับการเป็นบัว ก็เปรียบเป็น เหมือนกับส่วนของบัว ที่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์
ตัวอย่างการใช้งาน : การกล่าวแสดงถึง บัวสี่เหล่า นั้นไม่มี หรือไม่อาจเทียบเคียงด้วยพระสูตรหรือข้อบททางตำรา ในชั้นพระไตรปิฎกที่เป็นบทธรรมที่อาจถือว่าเป็นบทโดยตรงก็จริง แต่เป็นคำกล่าวที่แสดงสอนธรรมกันมาเป็นอัตโนมติของเหล่าคณาจารย์ผู้ทรงคุณยิ่งเอง อันกล่าวนัยซึ่งอาจเทียบเคียงได้และอุปมาได้กับข้อธรรม ว่าด้วยบุคคล ๔ ประเภท ในชุมนุมธรรม ๔ ข้อ ฉะนั้นการที่จะปริวรรตศัพท์หาหลักฐานแท้จริงว่าด้วยจำนวนและข้ออ้างตามตรงตามจริงทางความหมาย จึงอาจจะยังไม่ใช่อรรถประโยชน์ เพราะเป็นเพียงแต่อรรถรสทางประโยชน์ ในหลักตัวเลขและจำนวนนับเท่านั้น, ฉะนั้นจึงควรให้ดูว่า ที่กล่าวไว้ว่า บัว ๓ เหล่า นั้นก็จริง, ที่จะกล่าวไว้ด้วยจำนวน ๔ เหล่านั้นก็จริง, ให้เป็นแต่พิเคราะห์ซึ่งนามศัพท์เพื่อเหตุแก่ที่ตั้งทางคุณธรรมเข้าไว้ก่อน. เรื่องบัวนี้ มีนัยให้คิดในชั้นอรรถรส และอรรถาบรรยายอยู่อีกมาก ดูจากนิทานธรรมนั้น ในอุปมาแห่งไตรปิฏิกาจารย์ ก็ดี ว่า “สำเร็จธรรมรู้ธรรมได้แล้ว ดั่งบัวแย้มต้องแสงอาทิตย์ ก็ว่า” อันว่าอย่างนี้คำเปรียบก็จะผิดไปอีก เพราะว่าบัวชนิดที่แย้มเพราะต้องแสงจันทร์เท่านั้นก็นับว่ามีอยู่ ดังนั้นข้อศึกษาจึงไม่ควรให้ต้องถกเถียงกันด้วยนิยามทางอุตุ หรือกฎทางคณิตศาสตร์ ที่อยู่ในที่ไม่อาจจะก้าวล่วงไปสู่ธรรมชนิดเหนือโลก. ข้อนี้จึงขอให้แง่คิดว่า อย่าเพิ่งถือเอาการพิจารณา ว่า ๓ เหล่า หรือ ๔ เหล่า เป็นประเด็นที่สำคัญ แต่จะว่าให้ถูกแล้ว ก็เฉพาะเมื่อแนะให้มองดูปิรามิดมาจากทางเบื้องบนแล้วเท่านั้น ย่อมเห็นความเป็นมา แล้วหานิยามไปตลอดถึง ๔ อย่าง ๆ แบบชุมนุมธรรมะ แบบ ๔ ข้อจนได้ ซึ่งเป็นธรรมะตลอด ๔ ข้อประดามี เป็นของตามเดิมตามของเก่าไม่แปรเปลี่ยน มีมาในศาสนาของทุกพระพุทธเจ้า ฉะนั้น การตีแผกแผ่บรรยายนั้น ให้ถึงธรรมแห่งอริยสัจธรรมแบบ ๔ ข้อ จึงน่าจะเป็นคุณ จะหาว่าเป็นโทษอย่างไรไม่ ที่ท่านอาจารย์ผู้สอนนั้น จะเริ่มตั้ง และได้สอนมาแล้วอย่างนั้น ทั้งหมดนั้นคงแต่ให้สอนว่า เป็น ๔ อย่าง ในข้อนี้
ที่มา : ข้อนี้อ้าง ควรให้เห็นตามอย่างนี้ อันว่า มาจาก คำอนุทิน ศัพท์ ในวิกิซอร์ซ ตามที่คนได้บอกไว้อยู่แล้วนั้น อ้างให้ละเอียดดีกว่า

0 comments:

แสดงความคิดเห็น