skip to main |
skip to sidebar
สีลา น. หมายถึง ศีล เป็นคำแต่ในชั้นแรก คำเดิมว่า สีล, ในคัมภีร์ ว่า เสียงสระ อา เช่นนั้น ก็ว่าความหมาย คือ ศีล นั่นแหละ ความที่แปลว่า มีปรกติ มีประพฤติ มีแบบ มีจารีต นั้น ๆ กระทำได้เอง, หากใครประพฤติได้ เป็นอยู่เองแล้ว ในจริยา อิริยาบถ อาการนั้น ได้ประพฤติ เป็นประจำอยู่เสมอ โดยปรกติของคนนั้นเอง แล้ว คนนั้น มีศีล, คนใดชื่อว่ามีประพฤติตลอดไปได้ ครองตน วางแนวชีวิตให้อยู่ในคลองธรรมอันดี ว่า เป็นคนมีศีล
ตัวอย่างการใช้งาน : ให้ท่านจงดูไปจากหอพระสมุดวชิรญาณ นั้นก่อน ว่า ไว้แล้วดังนี้ “เออ! ท่านจักอ่านไน วิธีไหนก็ตามที, นี้ท่านเจ้าคุนตรี- ปีดกเถระผู้งาม, พร้อมด้วยสีลาจา- รวัตรเจ้าพระอาราม, “ทวยเทพาวาส” นาม พระเถรนั้นแหละลือดัง” (ชิต บุรทัต)., และว่า “... แต่พระตำรานี้เป็นตำราวิเศศ สำหรับบัณฑิตยาจาริยผู้มีสีลาจารวัตร จะได้ทำสัตยาธิฐาน ...” (ปกิณณกะ ภาคที่ ๒ ประชุมพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๔). จงตรวจดูเถิด หากใครจะหาว่ามีไม่จริง
ที่มา : ที่จะอ้างได้ เป็นต้องอ้างพระปิฎกภาษา นัยตัวบท ในพระอักษรสยาม ของไทยเรา ทั้งนั้น เพราะสีลกถา เป็นบทแต่ที่ต้องอ้าง ที่จะเอาเป็นรากปรากฏมาแต่พระบาลี, แต่นั้น ก็ควรจะว่าโดยทั่วไปก่อน อย่างที่ใครเขา คนใดก็พูด ก็กล่าวเป็นไทยเสียก่อนได้ ว่า “ใดที่มีสีลาจารวัตร” ว่าอยู่ทั่ว ๆ พระสงฆ์ของเราที่ไหน ประพฤติถูกทั่ว งดงามอยู่ในจรรยามารยาท ตามบทพุทโธวาทดีพร้อมแล้ว ท่านเป็นให้ว่าคำนี้ได้ เช่นคำเป็นอย่างตามพูดกันเห็นตัวอย่างอยู่แล้ว อาทิ ว่า “บัณฑิตผู้กล่าวนั้นมีสีลาจารวัตรงามพร้อม สมตนเป็นพุทธบุตร ผู้เป็นเอกธำรงองค์ อยู่ในบทพุทโธวาท หมดจด ศีลบริบูรณ์ดั่งนี้บ้าง เป็น ปริปุณฺณสีลา ถึงที่เหตุจะพึงค้นความมากล่าว อันที่ควรจะว่าไว้”
0 comments:
แสดงความคิดเห็น